การจัดเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ
การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจมีเทคนิคที่หลากหลาย
ในที่นี้จะกล่าวเป็นเพียงบางเทคนิคที่ผู้สอนผู้สอนสามารถนำไปใช้ได้ในห้องเรียนโดยทั่วไป
เช่น
เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน (Team Assisted Individualization : TAI)
เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ และการจัดการเรียนรู้รายบุคคลเข้าด้วยกัน
โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเอง ตามความสามารถของตนเอง
และช่วยส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างสมาชิกในกลุ่ม
เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน นี้ได้รับการออกแบบและพัฒนาในครั้งแรก ที่มหาวิทยาลัยจอห์น
ฮอพกินส์เมื่อปี ค.ศ. 1986 (Slavin, 1987) เป็นการออกแบบไว้สำหรับสอนคณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษา
แต่ภายหลังได้มีการดัดแปลงและปรับปรุงมาใช้ในวิชาอื่นๆและในระดับอื่นๆด้วย
จุดมุ่งหมาย
1. เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาการเรียนรายบุคคลที่ทำให้ผู้เรียนขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
และแก้ปัญหาการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มที่ทำให้ผู้เรียนที่เรียนอ่อนตามผู้เรียนที่เรียนเก่งในกลุ่มไม่ทัน
โดยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมรายบุคคลก่อน เมื่อทำไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ผู้เรียนในกลุ่มที่เรียนเก่ง (ผ่านเกณฑ์) จะช่วยเหลือผู้เรียนที่เรียนอ่อนสักครั้ง เพื่อทำให้คะแนนของกลุ่มดีขึ้น
และผู้เรียนที่เรียนอ่อนก็จะพยายามช่วยตัวเองเพื่อไม่ให้คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มต่ำลง
2.เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความพร้อมของผู้เรียนเรียนอ่อน ซึ่งทำให้การจัดการเรียนรู้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และช่วยแก้ปัญหาผู้เรียนเก่งและผู้เรียนปานกลางในเรื่องไม่ยอมรับผู้เรียนเรียนอ่อนให้สามารถยอมรับผู้เรียนที่เรียนอ่อนได้
บทบาทของผู้สอน
เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน เป็นเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
โดยให้ผู้เรียนทำกิจกรรมทุกขั้นตอน ซึ่งผู้สอนมีบทบาทดังนี้
1. ขั้นของการเรียนและจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มๆละ
4 คน ในกลุ่มประกอบด้วยผู้เรียนที่เรียนเก่ง ปานกลางและอ่อน อัตราส่วน 1:2:1 ตามลำดับ
โดยมีหญิงและชายปะปนกัน
ซึ่งจะมีการเปลี่ยนสมาชิกในกลุ่มทุก 8 สัปดาห์หรือเมื่อสิ้นสุดเนื้อหาหรือจุดประสงค์
2. สร้างสื่อการจัดการเรียนรู้
เช่น ใบงาน แบบฝึกทักษะ
เอกสารความรู้พร้อมเฉลย ชุดการจัดการเรียนรู้ชุดกิจกรรม บทเรียนสำเร็จรูป
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ฯลฯ เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาเป็นรายบุคคล
3. สร้างแบบทดสอบย่อยของแต่ละเรื่อง
และแบบทดสอบรวมของแต่ละหน่วยการเรียน
4. ให้คำแนะนำในระหว่างการเรียนของผู้เรียน
และตรวจคำตอบของผู้เรียนอีกครั้ง เพื่อพิจารณาปัญหาและหาทางแก้ไข
5. รวบรวมคะแนนของแต่ละกลุ่มและจัดลำดับหลังทดสอบหลังเรียน
6. ร่วมกับผู้เรียนสรุปบทเรียนให้ครอบคลุมจุดประสงค์และเนื้อหาที่เรียน
ขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้
เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน มีขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้โดยสรุป ดังนี้
1. จัดกลุ่ม
โดยให้สมาชิกกลุ่มๆละ 4-5 คน ในแต่ละกลุ่มประกอบด้วยผู้เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน (ควรมีทั้งหญิงและชายในแต่ละกลุ่ม)
และจะมีการเปลี่ยนกลุ่มทุกๆ 8 สัปดาห์
หรือจบเนื้อหา/จุดประสงค์
2. ทดสอบเพื่อจัดระดับ
เป็นการทดสอบ เพื่อจัดระดับตอนเริ่มต้นของการเรียน ตามคะแนนที่ได้
3. ผู้เรียนเริ่มศึกษาจากสื่อการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นหรือจัดขึ้นมาใช้
ดังนี้
3.1 ผู้เรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียน
และมีการซักถามปรึกษาหารือกับสมาชิกในกลุ่ม หรือถามผู้สอนในกรณีที่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ
3.2 ผู้เรียนแต่ละคนเริ่มทำกิจกรรมหรือศึกษาจากสื่อที่ได้รับ เมื่อศึกษาจบแล้วส่งให้เพื่อนในกลุ่มตรวจคำตอบจากกระดาษคำตอบถ้าทำถูกหมดทุกข้อให้เรียนต่อไป
แต่ถ้ายังตอบผิดให้ซักถามเพื่อนในกลุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือได้ก่อนที่จะถามผู้สอน
3.3 เมื่อผู้เรียนทำกิจกรรมหรือศึกษาถึงหน่วยสุดท้ายเสร็จแล้ว
ผู้เรียนจะได้ทำแบบทดสอบย่อยฉบับ 1 จำนวน 10 ข้อ
โดยทดสอบเป็นรายบุคคลส่งให้เพื่อนในกลุ่มเป็นผู้ตรวจ ถ้าได้คะแนน 80%
ขึ้นไป ถือว่าผ่าน แต่ถ้าผู้เรียนคนนั้นทำได้ถูกต้องไม่ถึงเกณฑ์ 80%
ผู้สอนจะต้องเข้าไปช่วยตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ผู้เรียนผู้นั้นไปศึกษาสื่อที่ศึกษาไปแล้วอีกครั้ง
และทดสอบซ้ำ ในแบบทดสอบย่อยฉบับ 2 ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบทดสอบคู่ขนานกับฉบับ
1
3.4 เมื่อทำแบบทดสอบย่อยฉบับ
1 และ / หรือ 2 ผ่านแล้วจะนำแบบทดสอบที่ผ่านแล้วไปให้หัวหน้ากลุ่มที่อยู่ต่างกลุ่ม เพื่อที่จะบันทึกผลแบบทดสอบประจำหน่วย ผู้เรียนทำแบบทดสอบต้องได้คะแนน 80 % ขึ้นไป
หัวหน้ากลุ่มต่างกลุ่มจะบันทึกคะแนนลงในแผ่นสรุปผลประจำกลุ่มของผู้ทดสอบ
จากนั้นผู้สอนจะตรวจคำตอบของผู้เรียนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิจารณาปัญหาและทำการแก้ไข
4. คะแนนและการรับรองของกลุ่ม
เมื่อสิ้นสุดแต่ละหน่วยการเรียนผู้สอนจะรวบรวมคะแนนของกลุ่มโดยคิดเฉลี่ยคะแนนที่ตอบถูกจากการทำแบบทดสอบประจำหน่วยการเรียนของสมาชิกในแต่ละกลุ่ม
ดังนี้
- กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์สูง ได้เป็นกลุ่มยอดเยี่ยม
- กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ปานกลาง ได้เป็น กลุ่มดีมาก
- กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ต่ำ ได้เป็น กลุ่มดี
5. สรุปบทเรียน เมื่อสอบจบหน่วยการเรียน ผู้เรียนและผู้สอนจะร่วมกันสรุปบทเรียนต่างให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์ของบทเรียน
ข้อดีของ เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน
1. ช่วยให้เกิดแรงจูงใจ
มีการเสริมแรงให้เกิดขึ้น ทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล
และกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง
2. ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความช่วยเหลือกันในกลุ่มของผู้เรียน
ปลูกฝังนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม เกิดการยอมรับในกลุ่มโดยผู้เรียนเก่งยอมรับผู้เรียนอ่อนและผู้เรียนอ่อนเห็นคุณค่าของผู้เรียนเก่ง
3. สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาผู้เรียนเรียนอ่อนในห้องเรียนได้
4. สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดี
ผู้เรียนที่เรียนช้ามีเวลาศึกษาและฝึกฝนเรื่องที่ไม่เข้าใจมากขึ้น และผู้เรียนที่เรียนเร็วใช้เวลาศึกษาน้อย
ทำให้ไม่เบื่อและมีเวลาไปทำอย่างอื่น เช่น ช่วยเหลือเพื่อนที่อ่อนในกลุ่ม
5. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ในบางเรื่อง
ทำให้ผู้สอนมีเวลาสร้างสรรค์และ ปรับปรุงงานสอนมากขึ้น
และมีเวลาที่จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมเร้าความสนใจ หรืออภิปรายปัญหากับผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มย่อย
6. ช่วยให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเองมากขึ้นและทราบความก้าวหน้าของตนเองตลอดเวลา
ข้อจำกัดของเทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน
ใช้เวลามากในการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้
ดังนั้นจึงต้องมีเวลาเพียงพอในการทำกิจกรรมต่างๆและควรให้ผู้เรียนได้มีเวลาผ่อนคลายระหว่างกิจกรรมบ้าง