วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ 1


การจัดเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ


      การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจมีเทคนิคที่หลากหลาย ในที่นี้จะกล่าวเป็นเพียงบางเทคนิคที่ผู้สอนผู้สอนสามารถนำไปใช้ได้ในห้องเรียนโดยทั่วไป เช่น

          เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน  (Team Assisted Individualization : TAI)


เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ   และการจัดการเรียนรู้รายบุคคลเข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเอง ตามความสามารถของตนเอง และช่วยส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน นี้ได้รับการออกแบบและพัฒนาในครั้งแรก ที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพกินส์เมื่อปี ค.. 1986 (Slavin, 1987) เป็นการออกแบบไว้สำหรับสอนคณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษา แต่ภายหลังได้มีการดัดแปลงและปรับปรุงมาใช้ในวิชาอื่นๆและในระดับอื่นๆด้วย

            จุดมุ่งหมาย


1. เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน  เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาการเรียนรายบุคคลที่ทำให้ผู้เรียนขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และแก้ปัญหาการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มที่ทำให้ผู้เรียนที่เรียนอ่อนตามผู้เรียนที่เรียนเก่งในกลุ่มไม่ทัน โดยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมรายบุคคลก่อน เมื่อทำไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ผู้เรียนในกลุ่มที่เรียนเก่ง (ผ่านเกณฑ์) จะช่วยเหลือผู้เรียนที่เรียนอ่อนสักครั้ง เพื่อทำให้คะแนนของกลุ่มดีขึ้น และผู้เรียนที่เรียนอ่อนก็จะพยายามช่วยตัวเองเพื่อไม่ให้คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มต่ำลง

2.เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความพร้อมของผู้เรียนเรียนอ่อน ซึ่งทำให้การจัดการเรียนรู้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า   และช่วยแก้ปัญหาผู้เรียนเก่งและผู้เรียนปานกลางในเรื่องไม่ยอมรับผู้เรียนเรียนอ่อนให้สามารถยอมรับผู้เรียนที่เรียนอ่อนได้

บทบาทของผู้สอน


เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน เป็นเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนทำกิจกรรมทุกขั้นตอน  ซึ่งผู้สอนมีบทบาทดังนี้

1. ขั้นของการเรียนและจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มๆละ 4 คน ในกลุ่มประกอบด้วยผู้เรียนที่เรียนเก่ง  ปานกลางและอ่อน  อัตราส่วน 1:2:1 ตามลำดับ โดยมีหญิงและชายปะปนกัน   ซึ่งจะมีการเปลี่ยนสมาชิกในกลุ่มทุก 8 สัปดาห์หรือเมื่อสิ้นสุดเนื้อหาหรือจุดประสงค์

2. สร้างสื่อการจัดการเรียนรู้ เช่น ใบงาน แบบฝึกทักษะ  เอกสารความรู้พร้อมเฉลย ชุดการจัดการเรียนรู้ชุดกิจกรรม บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ฯลฯ เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาเป็นรายบุคคล

3. สร้างแบบทดสอบย่อยของแต่ละเรื่อง และแบบทดสอบรวมของแต่ละหน่วยการเรียน

4. ให้คำแนะนำในระหว่างการเรียนของผู้เรียน และตรวจคำตอบของผู้เรียนอีกครั้ง เพื่อพิจารณาปัญหาและหาทางแก้ไข

5. รวบรวมคะแนนของแต่ละกลุ่มและจัดลำดับหลังทดสอบหลังเรียน

6. ร่วมกับผู้เรียนสรุปบทเรียนให้ครอบคลุมจุดประสงค์และเนื้อหาที่เรียน

ขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้


 เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน มีขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้โดยสรุป ดังนี้

1. จัดกลุ่ม โดยให้สมาชิกกลุ่มๆละ 4-5 คน ในแต่ละกลุ่มประกอบด้วยผู้เรียนเก่ง  ปานกลาง และอ่อน (ควรมีทั้งหญิงและชายในแต่ละกลุ่ม) และจะมีการเปลี่ยนกลุ่มทุกๆ 8 สัปดาห์ หรือจบเนื้อหา/จุดประสงค์

2. ทดสอบเพื่อจัดระดับ เป็นการทดสอบ เพื่อจัดระดับตอนเริ่มต้นของการเรียน ตามคะแนนที่ได้

3. ผู้เรียนเริ่มศึกษาจากสื่อการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นหรือจัดขึ้นมาใช้ ดังนี้

    3.1  ผู้เรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียน และมีการซักถามปรึกษาหารือกับสมาชิกในกลุ่ม หรือถามผู้สอนในกรณีที่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ   

    3.2 ผู้เรียนแต่ละคนเริ่มทำกิจกรรมหรือศึกษาจากสื่อที่ได้รับ   เมื่อศึกษาจบแล้วส่งให้เพื่อนในกลุ่มตรวจคำตอบจากกระดาษคำตอบถ้าทำถูกหมดทุกข้อให้เรียนต่อไป แต่ถ้ายังตอบผิดให้ซักถามเพื่อนในกลุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือได้ก่อนที่จะถามผู้สอน

    3.3 เมื่อผู้เรียนทำกิจกรรมหรือศึกษาถึงหน่วยสุดท้ายเสร็จแล้ว ผู้เรียนจะได้ทำแบบทดสอบย่อยฉบับ 1 จำนวน 10 ข้อ  โดยทดสอบเป็นรายบุคคลส่งให้เพื่อนในกลุ่มเป็นผู้ตรวจ ถ้าได้คะแนน 80% ขึ้นไป ถือว่าผ่าน แต่ถ้าผู้เรียนคนนั้นทำได้ถูกต้องไม่ถึงเกณฑ์ 80% ผู้สอนจะต้องเข้าไปช่วยตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ผู้เรียนผู้นั้นไปศึกษาสื่อที่ศึกษาไปแล้วอีกครั้ง และทดสอบซ้ำ ในแบบทดสอบย่อยฉบับ 2 ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบทดสอบคู่ขนานกับฉบับ 1

    3.4 เมื่อทำแบบทดสอบย่อยฉบับ 1 และ / หรือ 2 ผ่านแล้วจะนำแบบทดสอบที่ผ่านแล้วไปให้หัวหน้ากลุ่มที่อยู่ต่างกลุ่ม  เพื่อที่จะบันทึกผลแบบทดสอบประจำหน่วย    ผู้เรียนทำแบบทดสอบต้องได้คะแนน 80 % ขึ้นไป  หัวหน้ากลุ่มต่างกลุ่มจะบันทึกคะแนนลงในแผ่นสรุปผลประจำกลุ่มของผู้ทดสอบ จากนั้นผู้สอนจะตรวจคำตอบของผู้เรียนอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อพิจารณาปัญหาและทำการแก้ไข

4. คะแนนและการรับรองของกลุ่ม 

    เมื่อสิ้นสุดแต่ละหน่วยการเรียนผู้สอนจะรวบรวมคะแนนของกลุ่มโดยคิดเฉลี่ยคะแนนที่ตอบถูกจากการทำแบบทดสอบประจำหน่วยการเรียนของสมาชิกในแต่ละกลุ่ม ดังนี้

      -         กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์สูง                ได้เป็นกลุ่มยอดเยี่ยม             

      -         กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ปานกลาง       ได้เป็น กลุ่มดีมาก

      -         กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ต่ำ               ได้เป็น กลุ่มดี

5. สรุปบทเรียน   เมื่อสอบจบหน่วยการเรียน ผู้เรียนและผู้สอนจะร่วมกันสรุปบทเรียนต่างให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์ของบทเรียน

            ข้อดีของ เทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน


1. ช่วยให้เกิดแรงจูงใจ  มีการเสริมแรงให้เกิดขึ้น ทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล และกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง

2. ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความช่วยเหลือกันในกลุ่มของผู้เรียน ปลูกฝังนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม เกิดการยอมรับในกลุ่มโดยผู้เรียนเก่งยอมรับผู้เรียนอ่อนและผู้เรียนอ่อนเห็นคุณค่าของผู้เรียนเก่ง

3. สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาผู้เรียนเรียนอ่อนในห้องเรียนได้

4. สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนที่เรียนช้ามีเวลาศึกษาและฝึกฝนเรื่องที่ไม่เข้าใจมากขึ้น และผู้เรียนที่เรียนเร็วใช้เวลาศึกษาน้อย ทำให้ไม่เบื่อและมีเวลาไปทำอย่างอื่น เช่น ช่วยเหลือเพื่อนที่อ่อนในกลุ่ม

5. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ในบางเรื่อง ทำให้ผู้สอนมีเวลาสร้างสรรค์และ ปรับปรุงงานสอนมากขึ้น และมีเวลาที่จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมเร้าความสนใจ หรืออภิปรายปัญหากับผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มย่อย

6. ช่วยให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเองมากขึ้นและทราบความก้าวหน้าของตนเองตลอดเวลา

            ข้อจำกัดของเทคนิคร่วมด้วยช่วยกัน


ใช้เวลามากในการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ดังนั้นจึงต้องมีเวลาเพียงพอในการทำกิจกรรมต่างๆและควรให้ผู้เรียนได้มีเวลาผ่อนคลายระหว่างกิจกรรมบ้าง  

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน


การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project work)


    โครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง จากการลงมือปฏิบัติจริง ในลักษณะของการศึกษา สำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น โดยมีผู้สอนเป็นผู้คอยกระตุ้น แนะนำ และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด โครงงาน เป็นเป็นการบูรณาการระหว่างห้องเรียนกับโลกภายนอก ซึ่งเป็นชีวิตจริงของผู้เรียน เพื่อนำไปสู่ความรู้ใหม่ๆด้วยการสร้างความหมาย การแก้ปัญหาและการค้นพบด้วยตนเอง   ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนความรู้ให้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งใหม่
   การเรียนรู้จากโครงงานสามารถทำได้ทั้งในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา จนกระทั่งถึงระดับอุดมศึกษา และจัดทำได้กับทุกกลุ่มวิชา โดยสามารถบูรณาการภายในกลุ่มวิชาหรือเป็นโครงงานที่เป็นการบูรณาการข้ามกลุ่มวิชาก็ได้  และสามารถทำได้ในลักษณะเป็นบุคคลหรือรายกลุ่ม ทั้งนี้ตามความเหมาะสม ความสนใจของผู้เรียนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม และแต่ละระดับชั้นปี

ประเภทของโครงงาน


โครงงานเป็นส่วนที่ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเพื่อพัฒนาความรู้  ทักษะ  และสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพ จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ

1. โครงงานตามสาระการเรียนรู้  เป็นโครงงานที่บูรณาการความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นพื้นฐานในการกำหนดโครงงานและการปฏิบัติ

2. โครงงานตามความสนใจ  เป็นโครงงานที่ผู้เรียนกำหนดขั้นตอน ความถนัด ความสนใจ และความต้องการ โดยนำเอาความรู้ ทักษะ คุณธรรมจริยธรรมและค่านิยม จากสาระการเรียนรู้วิชาต่างๆมาบูรณาการกำหนดเป็นโครงงานและการปฏิบัติ

ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานจึงเป็นการจัดให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้  เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย สังคม และสติปัญญา นอกจากนี้ อาจจำแนกประเภทของโครงงานตามลักษณะการดำเนินการออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

1) โครงงานที่เป็นการสำรวจ รวบรวมข้อมูล

2) โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง

3) โครงงานที่เป็นการศึกษา ความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่

4) โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น

1.  โครงงานที่เป็นการสำรวจ รวบรวมข้อมูล


    โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจนั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่ และนำเสนอในรูปแบบต่างๆอย่างมีระบบ เพื่อให้เห็นถึงลักษณะหรือความสัมพันธ์ของเรื่องดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การปฏิบัติตามโครงงานนี้ ผู้เรียนจะต้องไปศึกษา รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สอบถาม สัมภาษณ์ สำรวจ โดยใช้เครื่องมือ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก ฯลฯ ในการรวบรวมข้อมูลที่ต้องการศึกษา

2.  โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง


    โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ โดยการออกแบบโครงงานในรูปของการทดลอง เพื่อศึกษาว่าตัวแปรหนึ่งจะมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาอย่างไรบ้าง ด้วยการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ซึ่งอาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาไว้ ขั้นตอนการดำเนินงาน ประกอบด้วย การกำหนดปัญหา การตั้งวัตถุประสงค์หรือสมมุติฐาน การออกแบบทดลอง การรวบรวมข้อมูล การดำเนินการทดลอง การแปลผล และสรุปผลการทดลอง

3.  โครงงานที่เป็นการศึกษาความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่


    โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอความรู้ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรือขัดแย้งหรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดที่เสนอต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีหลักการหรือวิธีการที่น่าเชื่อถือตามกติกา/ข้อตกลงที่กำหนดขึ้นมาเอง หรืออาจใช้กติกาหรือข้อตกลงเดิมมาอธิบายข้อความรู้ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดใหม่ ก็ได้  โครงงานประเภทนี้ ผู้ทำโครงงานต้องเป็นผู้ที่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดี หรือต้องมีการศึกษา ค้นคว้าข้อมูลมาประกอบอย่างลึกซึ้ง จึงจะทำให้สามารถกำหนดความรู้ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดใหม่ๆขึ้นได้

4.  โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์คิดค้น


    โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ คือ การนำเอาความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดมาประยุกต์ใช้ โดยการประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการเรียน การทำงาน หรือการใช้สอยอื่นๆ

    การประดิษฐ์คิดค้นตามโครงงานนี้ อาจเป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่โดยที่ยังไม่มีใครทำหรืออาจเป็นการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งการสร้างแบบจำลองต่างๆเพื่อประกอบการอธิบายแนวคิดในเรื่องต่างๆ  โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์คิดค้นนี้ จะครอบคลุมเรื่องต่างๆทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา สังคม อาชีพ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

            ขั้นตอนการทำโครงงาน


    ในการดำเนินงานโครงงาน มีขั้นตอนที่สำคัญประกอบด้วย

    ขั้นตอนที่ 1 การคิดและเลือกหัวเรื่อง

    ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง

    ขั้นตอนที่ 3 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน

    ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติโครงงาน

    ขั้นตอนที่ 5 การเขียนรายงาน

    ขั้นตอนที่ 6 การแสดงผลงาน

ขั้นตอนที่ 1 การคิดและเลือกหัวข้อเรื่อง


การดำเนินงานตามขั้นตอนนี้ เป็นการคิดหาหัวข้อเรื่องที่จะทำโครงงานโดยผู้เรียนต้องตั้งต้นด้วยคำถามที่ว่า

    -  จะศึกษาอะไร

    -  ทำไมต้องศึกษาเรื่องดังกล่าว

สิ่งที่จะนำมากำหนดเป็นหัวข้อเรื่องโครงงาน จะได้มาจาก ปัญหา คำถามหรือความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่างๆของผู้เรียนเอง ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้เรียนได้อ่านจากหนังสือเอกสาร บทความ ฟังการบรรยาย การสนทนา หรือจากการที่ได้ไปดูงาน ทัศนศึกษา ชมนิทรรศการ หรือสังเกตจากปรากฏการณ์ต่างๆรอบข้าง

ขั้นตอนที่ 2  การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง


การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องนี้ รวมไปถึงการขอคำปรึกษา หรือข้อมูลรายละเอียดอื่นๆจากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ รวมทั้งการสำรวจวัสดุอุปกรณ์ต่างๆด้วย

ขั้นตอนที่ 3  การเขียนเค้าโครงของโครงงาน


การดำเนินงานตามขั้นตอนนี้ เป็นการสร้างแผนที่ความคิด เป็นการนำเอาภาพของงาน และภาพของความสำเร็จของโครงงานที่วิเคราะห์ไว้มาจัดทำรายละเอียด เพื่อแสดงแนวคิด แผน และขั้นตอนการทำโครงงาน

โดยทั่วไปเค้าโครงของโครงงานจะประกอบด้วยหัวข้อต่างๆ เช่นเดียวกับโครงการ ซึ่งได้แก่







หัวข้อ/รายการ
รายละเอียดที่ต้องระบุ
1. ชื่อโครงงาน
2. ชื่อผู้ทำโครงงาน
3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน

4. ระยะเวลาดำเนินงาน
5. หลักการและเหตุผล
6. จุดหมาย / วัตถุประสงค์

7. สมมติฐานของการศึกษา (ในกรณีที่เป็นโครงงานการทดลอง)
8. ขั้นตอนการดำเนินงาน

9. ปฏิบัติโครงงาน

10. ผลที่คาดว่าจะได้รับ

11. เอกสารอ้างอิง/บรรณานุกรม
ทำอะไร กับใคร เพื่ออะไร
ผู้รับผิดชอบโครงงาน อาจเป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่มก็ได้
ผู้สอน-อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีในท้องถิ่น ผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ควบคุมการทำโครงงานของผู้เรียน
ระยะเวลาการดำเนินงานโครงงาน ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น
สภาพปัจจุบันที่เป็นความต้องการ และความคาดหวังที่จะเกิดผล
สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงงานทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
ข้อตกลง/ข้อกำหนด/เงื่อนไข เพื่อเป็นแนวทางในการพิสูจน์ให้เป็นไปตามที่กำหนด
กิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงาน เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์         สถานที่
วัน เวลา และกิจกรรมดำเนินการต่างๆตามที่ระบุไว้ในข้อ 8 ตั้งแต่เริ่มต้นจนแล้วเสร็จ
สภาพของผลที่ต้องการให้เกิด ทั้งที่เป็นผลผลิต กระบวนการ และผลกระทบ
ชื่อเอกสาร ข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่างๆที่นำมาใช้ในการดำเนินงาน



ขั้นตอนที่ 4  การปฏิบัติโครงงาน


การดำเนินงานตามขั้นตอนนี้ เป็นการดำเนินงาน หลังจากที่โครงงานได้รับความเห็นชอบจากผู้สอน-อาจารย์ที่ปรึกษา และได้รับการอนุมัติจากสถานศึกษาแล้ว ผู้เรียนต้องลงมือปฏิบัติงานตามแผนงานที่กำหนดไว้ในเค้าโครงของโครงงาน และระหว่างการปฏิบัติงานผู้เรียนต้องปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความประหยัดและความปลอดภัยในการทำงาน ตลอดจนคำนึงถึงสภาพแวดล้อมด้วย

ในระหว่างการปฏิบัติงานตามโครงงาน ต้องมีการจดบันทึกข้อมูลต่างๆไว้อย่างละเอียดว่า ทำอะไร ได้ผลอย่างไร ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขอย่างไร  การบันทึกข้อมูลดังกล่าวนี้ ต้องจัดทำอย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูล สำหรับการปรับปรุงการดำเนินงานในโอกาสต่อไปด้วย

ขั้นตอนที่ 5  การเขียนรายงาน


การดำเนินงานตามขั้นตอนนี้ เป็นการสรุปรายงานผลการดำเนินงานโครงงาน เพื่อให้ผู้อื่นได้ทราบถึงแนวคิด วิธีดำเนินงาน ผลที่ได้รับ ตลอดจนข้อสรุป ข้อเสนอแนะต่างๆเกี่ยวกับโครงงาน

การเขียนรายงานควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ ชัดเจน และครอบคลุมประเด็นสำคัญๆของโครงงานที่ปฏิบัติไปแล้ว โดยอาจเขียนในรูปของสรุป รายงานผล ซึ่งอาจประกอบด้วยหัวข้อต่างๆ ดังนี้ บทคัดย่อ บทนำ เอกสารที่เกี่ยวข้อง วิธีการดำเนินงาน ผลการศึกษา สรุปและอภิปรายผล ข้อเสนอแนะ และตารางที่เกี่ยวข้อง

ขั้นตอนที่ 6  การแสดงผลงาน


การดำเนินงานตามขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำโครงงานเป็นการนำผลการดำเนินงานโครงงานทั้งหมดมาเสนอให้ผู้อื่นได้ทราบ ซึ่งผลผลิตทีได้จากการดำเนินโครงงานประเภทต่างๆมีลักษณะเป็นเอกสาร รายงาน ชิ้นงาน แบบจำลอง ฯลฯ ตามประเภทของโครงงานที่ปฏิบัติ

การแสดงผลงาน ซึ่งเป็นการนำเอาผลการดำเนินงานมาเสนอนี้ สามารถจัดได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ หรือทำเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ การจัดทำเป็นสื่อมัลติมีเดีย และอาจนำเสนอในรูปแบบของการแสดงผลงาน การนำเสนอด้วยวาจา รายงาน บรรยาย ฯลฯ

การประเมินโครงงาน


การประเมินโครงงานมีกรอบแนวทางการประเมิน ดังนี้

1.ประเมินอะไร


      1.1 การแสดงออกถึงผลของความรู้ ความคิด ความสามารถ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม

      1.2  กระบวนการเรียนรู้

      1.3  กระบวนการทำงาน

      1.4  ผลผลิต/ผลงาน/ชิ้นงาน

2.ประเมินเมื่อใด


    2.1 อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นโครงงาน

    2.2 ตามสภาพจริง

    2.3 เป็นธรรมชาติ

3.ประเมินจากอะไร


    3.1 ผลงาน (เอกสาร ชิ้นงาน ฯลฯ)

    3.2 การทดสอบ

    3.3 แบบบันทึกต่างๆ (การสังเกต ความรู้สึก สัมภาษณ์ ฯลฯ)

    3.4 แฟ้มสะสมผลงาน

    3.5 หลักฐานหรือร่องรอยอื่น

4.  ประเมินโดยใคร


    4.1 ตัวผู้เรียน

    4.2 เพื่อน

    4.3 ผู้สอน

    4.4 ผู้ปกครอง

    4.5 ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ

5.ประเมินโดยวิธีใด


    5.1 สังเกต

    5.2 สัมภาษณ์

    5.3 ตรวจรายงาน

    5.4 ตรวจผลงาน

    5.5 ทดสอบ

    5.6 นำเสนองาน

    5.7 นิทรรศการ

จากกรอบแนวทางการประเมินโครงงานที่กล่าวมาแล้ว การประเมินผลโครงงานของผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นโครงงานที่เป็นการบูรณาการภายในกลุ่มวิชา หรือบูรณาการข้ามกลุ่มวิชา สามารถนำมาใช้เป็นการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและประเมินผลเพื่อตัดสินการเรียนได้

โครงงานเป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง  เป็นการเรียนรู้ที่สร้างและพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนโดยสมบูรณ์และมีความสมดุลทั้งด้านจิตใจ  ร่างกาย  ปัญญา และสังคม   เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ฝึกกระบวนการคิด  การทำงานอย่างเป็นระบบ  ระเบียบ 



 ในที่นี้จะขอเสนอแนวทางการนำโครงงานไปใช้ในการพัฒนาระบบการเรียนรู้ ดังนี้

·       ความยากง่ายของเรื่องที่เรียนควรเหมาะกับวัย  ประสบการณ์  และวุฒิภาวะ

·       เวลาทำโครงงาน ไม่ควรยาวนานเกินไป สามารถยืดหยุ่นได้และคุ้มค่า

·       ควรเป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างองค์ความรู้ที่สอดคล้องกับเนื้อหาในบทเรียน

·       เรียนรู้ในเรื่องที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น  สัมพันธ์กับชีวิตจริง และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

·       โครงงานสามารถทำได้ทุกสาระการเรียนรู้ ทำได้ทั้งในและนอกเวลาเรียน แต่ควรจะเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่

·       ควรใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงาน ให้ทุกคนมีโอกาสคิด พูดและทำ และสรุปความรู้ร่วมกัน

·   การเรียนรู้โดยโครงงานควรมีวิธีการศึกษา  มีการใช้แหล่งความรู้และรูปแบบในการนำเสนอโครงงานที่หลากหลาย

·       ควรคำนึงถึงความปลอดภัยในการทำงาน

·       ประเมินผลทั้งด้านคุณภาพของชิ้นงานและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 

·       ให้ผู้เรียนแสวงหาความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน องค์กร และท้องถิ่น

Z1510

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นวัตกรรมการศึกษา


นวัตกรรม (Innovation) เป็นศัพท์ บัญญัติขึ้นเดิมใช้ นวกรรม มาจากคำกริยาว่า Innovate มาจากรากศัพท์ ภาษาอังกฤษว่า Inovare (in(=in)+novare= to renew, to modify) และnovare มาจากคำว่า novus (=new) Innovate แปลตามรูปศัพท์ได้ว่า "ทำใหม่,เปลี่ยนแปลงโดยนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามา "Innovation = การทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ที่ทำขึ้นมา (International Dictionary)
นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง การนำสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด หรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม
ลักษณะการเกิดของนวัตกรรม แบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ
1. ปรับปรุงต่อยอดของเดิม
2. สร้างสิ่งใหม่ทั้งหมด
3.การประกอบใหม่จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว
กระบวนการของนวัตกรรม แบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ
1. การสร้าง (Invention)
2. การรับรู้ (Recognition)
3. การพัฒนา (Development)
4. การดำเนินการ (Implementat)
หลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาว่าสิ่งใดคือ นวัตกรรม
1. เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจจะเกิดจากการคิดปรับปรุงต่อเติมจากของเดิมที่มีอยู่หรือนำของเดิมที่มีอยู่แล้วมาประกอบขึ้นใหม่เป็นชิ้นงานใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
2. มีกระบวนการพัฒนาตามลำดับขั้นตอน(การสร้าง การรับรู้ การพัฒนา การดำเนินการ และการขยายผล ) มีการหาคุณภาพหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม
3. มีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยหรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่าจะช่วยให้ดำเนินงานบางอย่างมประสิทธิภาพสูงขึ้น
4. ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งในระบบงานปัจจุบัน
5. การขยายผล (Diffision)

นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เช่น ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียนรู้ เป็นต้น
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา
แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่มีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆพอจะสรุปได้ดังนี้
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจน จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ได้แก่ การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์ ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น แบบเรียนสำเร็จรูป การสอนเป็นคณะ การจัดโรงเรียนในโรงเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
2. ความพร้อม ปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาที่เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ นวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน การปรับปรุงการสอนสามชั้น
3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมจัดโดยอาศัยความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวัน จัดเวลาเรียนแน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น มหาวิทยาลัยเปิด แบบเรียนสำเร็จรูป การเรียนทางไปรษณีย์
4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีสิ่งต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น มหาวิทยาลัยเปิด การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป ชุดการเรียน